ข่าวพยากรณ์และเตือนการระบาดศัตรูพืช ฉบับที่ 6/66

ราน้ำค้างในพืชตระกูลแตง

พืชตระกูลแตงเป็นพืชอีกชนิดที่ได้รับความนิยมในการปลูกมาก เพราะเป็นพืชที่นิยมรับประทาน การปลูกในช่วงที่อากาศเย็นอุณหภูมิลดต่ำลง ในตอนกลางคืน และมีแดดแรงในตอนกลางวันเช่นนี้ เป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการเกิดโรค ได้แก่ โรคราน้ำค้าง สามารถทำความเสียหายอย่างร้ายแรงทางเศรษฐกิจให้แก่พืชตระกูลแตงเป็นอย่างมาก ดังนั้นศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช จังหวัดชลบุรี จึงขอเตือนเกษตรกรผู้ปลูกพืชตระกูลแตงในเขตภาคตะวันออก หมั่นสำรวจแปลงและเฝ้าระวังการเข้าทำลายระบาดของโรคราน้ำค้างในพืชตระกูลแตงอย่างสม่ำเสมอ

โรคราน้ำค้าง (Downy Mildew)

เกิดจากเชื้อรา Pseudoperonospora cubensis


ชนิดพืชที่เกิดโรคได้แก่ แตงกวา ฟัก แตงโม มะระ เป็นต้น

ลักษณะอาการ

จะพบกลุ่มของเชื้อราเป็นผงสีขาวหรือสีเทาบนใบต่อมาด้านหลังใบจะเกิดแผลสีเหลืองต่อมาเป็นสีน้ำตาล แผลค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขอบไม่แน่นอน ถ้าเป็นรุนแรง แผลจะมีจำนวนมาก ใบจะเหลืองและแห้งตาย ใบที่อยู่ตอนล่างจะมีแผลเกิดก่อน แล้วลามระบาดไปยังใบที่สูงกว่า ในต้นอ่อนจะเริ่มมีแผลสีเหลืองที่ใบเลี้ยง และมักจะหลุดร่วงไป อาจจะทำให้ต้นเติบโตช้า โทรมอ่อนแอและตายได้

สภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการระบาดของโรค

ความชื้นสูง อุณหภูมิระหว่าง 20-24 องศาเซลเซียส มีหมอกหรือน้ำค้างลงจัด หรืออากาศเย็นอุณหภูมิลดต่ำลง ในตอนกลางคืน และมีแดดแรงในตอนกลางวัน โดยพบโรคนี้ได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของพืช ถ้าเป็นโรคในระยะกล้า ใบเลี้ยงจะเกิดจุดแผลสีน้ำตาลทำให้ลำต้นเน่า หรือแคระแกร็น ถ้าเป็นโรคในระยะต้นโต จะพบอาการเริ่มแรกบริเวณด้านบนใบลักษณะเป็นจุดแผลสีเหลือง หรืออาจเป็นปื้นๆ สีเหลือง ถ้าสภาพอากาศชื้นโดยเฉพาะตอนเช้าเมื่อพลิกดูด้านใต้ใบมักจะพบเส้นใยเชื้อราสีขาว หรือเทาคล้ายปุยฝ้าย ถ้าโรคระบาดรุนแรงแผลจะลามขยายใหญ่ทำให้เนื้อใบเป็นสีน้ำตาล และแห้งตาย

มักพบอาการของโรคบนใบที่อยู่บริเวณด้านล่างของต้นก่อน แล้วขยายลุกลามไปยังใบที่อยู่ด้านบน อาการเริ่มแรกบนใบปรากฏแผลฉ่ำน้ำ ต่อมาแผลจะขยายตามกรอบของเส้นใบย่อย ทำให้เห็นแผลเป็นรูปเหลี่ยมเล็กๆ ต่อมาแผลเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ในตอนเช้าที่สภาพอากาศมีความชื้นสูงจะพบเส้นใยของเชื้อรา ลักษณะเป็นขุยสีขาวถึงเทาตรงแผลบริเวณด้านใต้ใบ แผลจะขยายติดต่อกันเป็นแผลขนาดใหญ่ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือเทาดำ หากอาการรุนแรงจะทำให้ใบเหลือง และแห้งตายทั้งต้น พืชที่เป็นโรคจะติดผลน้อย ผลมีขนาดเล็ก คุณภาพของผลจะลดลง หากเป็นโรคในระยะมีผลอ่อนจะทำให้ผลลีบเล็กและบิดเบี้ยว

วิธีป้องกันและรักษา
1. ใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดีและปราศจากโรค
2. ไม่ปลูกพืชแน่นเกินไป เพราะจะทำให้มีความชื้นสูง
3. หมั่นกำจัดวัชพืช และตัดแต่งใบที่อยู่ด้านล่าง ของต้นออกบางส่วน เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศในแปลงได้ดี และทำลายแหล่งอาศัยของด้วงเต่าแตง
4. กำจัดด้วงเต่าแตง ซึ่งอาจเป็นตัวแพร่เชื้อราสาเหตุโรค โดยการจับทำลาย หรือพ่นด้วยเชื้อราบิวเวอเรีย อัตรา 1 กก.ต่อน้ำ 40 ลิตร หรือฉีดพ่นด้วยสารกำจัด เช่น ฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพีอัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
5. ใช้ชีววิธี
5.1 ใช้เชื้อไตรโคเดอร์ม่า อัตราส่วน 1 กก./น้ำ 200 ลิตร พ่นซ้ำ 2-3 ครั้ง ห่างกัน 3 – 5 วัน
5.2 ใช้เชื้อบาซิลลัส ซับทิลิส ตามอัตราส่วนที่ฉลากแนะนำ
6. ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช
6.1 แมนโคเซบ + เมทาแลกซิล – เอ็ม 64% + 4% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
6.2 แมนโคเซบ + วาลิฟีนาเลท 60% + 6% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
6.3 แมนโคเซบ 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20 – 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นให้ทั่วทั้งบนใบและใต้ใบ ทุก 5 – 7 วัน และ ควรหยุดพ่นสารก่อนเก็บผลผลิต อย่างน้อย 7 วัน
7. แปลงที่เป็นโรคควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำในตอนเย็น
8. แปลงที่เป็นโรคหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ให้เก็บซากพืชไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก และไม่ปลูกพืชตระกูลแตงซ้ำ ควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน

ที่มา : ข้อมูลเตือนภัย กรมวิชาการเกษตร